เชียงจืน ตอน 2

                                                                      ๒

 

 

๕ นาทีต่อมา ชายหนุ่มแจ๊กเก็ตสีเขียวขี้ม้า ยังคงเดินวนเวียนอยู่ตรงกลุ่มต้นหูกวางตรงโน้น ปลายสถานี

๑๐ นาทีต่อมา คนเสื้อเขียวเวียนไปถามพนักงานขายตั๋วแล้วออกมาใหม่ เดินตรงมาเรื่อยๆเกือบจะเดินตรงมา ถูกทางแล้วแต่ดันเลี้ยวขวาผิดไปหูกวางอีกฝั่ง ไปคิวรถอีกอำเภอ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” หญิงสาวชุดวอล์มเหลือง นั่งกระหยิ่มยิ้มร่าอยู่คนเดียวบนรถสองแถว คนสองสามคนที่นั่งรอด้านนอก ทยอยขึ้นรถ รถกระบะสองแถวคันเล็กสตาร์ทเครื่องเตรียมออกเดินทาง……

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า สมตกรถ” จิตฝ่ายมารคิด

“แต่ เอะ..เขาจะมีธุระสำคัญไหมนะ? จะหลงทางเป็นอันตรายรึเปล่า” จิตฝ่ายนางฟ้าแว่บขึ้นมาเตือน “รึเราจะไปบอกรถรอดี” เธอครุ่นคิด

“โด่ จะเป็นอะไรไป ผู้ชายตัวเบอเริ่ม ตกรถรอบเช้าก็มีรอบบ่ายไงอีกหกชั่วโมงเอง รอไปสิ ฮ่าๆ” แล้วจิตฝ่ายมารก็ชนะ

รถสองแถวประจำทางสีแดงคันเล็ก ค่อยๆออกตัวเลี้ยวขึ้นถนนลาดยาง ออกวิ่งสู่อำเภอเชียงจืน ทิ้งลานหูกวางให้กลายเป็นฉากหลัง มีผู้หญิงชุดวอล์มสีเหลืองคนหนึ่งนั่งท้ายสุดชะโงกมองออกมาจากท้ายรถ ยิ้มร้ายอย่างเบิกบาน

…………………………………………………………………………………………………………………………………

 

เป็นเวลากว่า ๑๕ นาที ที่เขาวนอยู่ในลานกว้างของ “ต้นหูกวาง” “ใช่สิ ต้นหูกวางผู้หญิงคนนั้นบอกว่า รถสองแถวเข้าตัวอำเภอเชียงจืน จอดใต้ต้นหูกวาง….แล้วมันต้นไหน”

หลังสถานีรถไฟคือลานกว้าง เพราะตัวจังหวัดไม่มีรถไฟผ่าน ผู้คนที่เดินทางมาจังหวัดนี้ต้องที่สถานีนี้แล้วต่อรถเข้าตัวจังหวัด ลานหูกวางยังเป็นที่จอดของคิวรถอำเภอต่างๆ รถตู้ รถเมล์ที่วิ่งระหว่างจังหวัด หลังสถานีรถไฟจึงเต็มไปด้วยคิวรถและทุกคิวรถอยู่ใต้ต้นหูกวาง!

เขาเดินวนอยู่นาน มีหลายคนบอกทางแล้วแต่เขาก็ไม่เข้าใจ จนโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น

“สวัสดีครับ”เขารับสาย

“ฮัลโหลครับ นั่นพี่ ช่างถ่ายรู…ป ใช่ไหมครับ” เสียงปลายสายที่ดูอายุอ่อนกว่าถาม

“ครับ” เขารับคำ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “อ๋อ ..น้องเด็กชอบถ่าย.. ใช่ไหมครับ”

“ครับผมเอง ตอนนี้พี่ถึงไหนแล้วครับ”

“ลงรถไฟแล้วครับแต่ยังหารถ ต่อไปอำเภอเชียงจืนไม่ได้ครับ”

“ อ้าว….ลุงผมไม่ได้ไปรับพี่ เหรอครับ” เสียงปลายสายดูตกใจ “ลุงผมเป็นคนขับรถสองแถวรอบเช้า น่ะครับ ผมบอกให้ไปรับพี่แล้วแกคงลืม” ปลายสายนิ่งคิด “เดี๋ยวผมโทรบอกให้ลุงเดินเข้าไปรับ ใส่เสื้อสีอะไรครับ”

“แจ๊กเก็ตเขียวครับ” เขาตอบรับ

“พี่มาจริงๆเหรอเนี่ย ผมตื่นเต้นโคดๆ” เสียงเด็กหนุ่มปลายสายดีใจจนเก็บไว้ไม่มิด “เดี๋ยวเจอกันครับ ผมจะไปรอรับที่หน้าเกสเฮาส์”

…………………………………………………………………………………………………………………………………

 

รถสองแถวที่มีผู้โดยสารสี่คนที่หนักไปทางข้าวของสัมภาระ ทั้งขนม ของกิน อุปกรณ์ทางเกษตรวางเต็มพื้นทางเดิน หญิงสาวมองสองข้างทางบ้านเรือนชุมชนเก่าย่านสถานีรถไฟเพลินๆ

รถค่อยๆชะลอความเร็ว หญิงสาวลอบมองคนขับที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย เธอขมวดคิ้ว มองปฎิกิริยานั้นอย่างสันนิฐาน คนขับร่างผอมวางโทรศัพท์แล้วตะโกนบอกผู้โดยสารด้านหลัง

“ลืมคน ขอกลับไปสถานีรถไฟกำหนึ่งเน้อ”

รถสองแถวคันเล็ก กลับมาจอดที่เดิมอย่างรวดเร็ว คนขับร่างผอม รีบเดินกระหย่องกะแย่ง ไปทางตัวสถานีรถไฟ หญิงสาวชุดเหลือง มองตามลุงคนขับที่เดินหายลับไป ขมวดครุ่นคิด “ลืมใครน้อ หวังว่าคงไม่ใช่…..”

สักพัก ลุงคนขับเดินกลับมา ตามมาด้วยผู้ชายตัวสูง สวมกางเกงยีน รองเท้าหนังสีน้ำตาล แบกถุงทะเลใบโตสวมแจ็กเก็ตเขียว

“ชัดเลย…” หญิงสาวอุทานในใจ อย่างเบื่อหน่ายในโชคชะตา

………………………………………………………………………………………………………………………………..

 

ชายหนุ่มปีนขึ้นไปวางถุงทะเลใบโตบนหลังรถ เขามองเข้าไปในรถ รถสองแถวเต็มไปด้วยข้าวของทั้งพื้นทั้งเบาะนั่ง เขาจึงนั่งเก้าอี้เหล็กเสริมข้างนอก ชายหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวาจะหาเพื่อนคุยตามประสาคนช่างพูด พอมองไปข้างๆที่มีโครงรถกั้น

เป็นผู้หญิงชุดวอล์ม คนนั้น.. เธอนั่งหันหลังให้เขา แม้เธอจะดูไม่เป็นมิตรจากเหตุการณ์ตอนลงจากรถไฟ แต่เขาก็ไม่ได้ติดใจอะไรจึงถาม ออกไป

“อ้าว คุณพี่ไปเชียงจืนเหมือนกันเหรอครับ”

หญิงสาวชุดวอล์ม หันหน้าบุญไม่รับมามองเขา ก่อนจะตอบเสียงขุ่น “ค่ะ”

“เอ่อ ลำห้วยแม่จืน ที่สวยงามมากอยู่ ฝั่งซ้ายมือหรือขวามือครับ พี่” ชายหนุ่มผู้ไม่รู้อะไร ยังคงคุยต่อ แถมฉีกยิ้มรอคำตอบ

เธอหับขวับมาตาเขียวปั๊ดพร้อมระเบิดเสียง “พี่ๆ อยู่นั่นแหละ คุณอายุเท่าไรน่ะห่ะ”

ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงตกใจ “ยี่สิบแปด ครับ” เขาตอบเร็วเหมือนจรวด

“ฉันอายุ ยี่สิบหก หน้าฉันแก่มากเลยรึไง” คนชุดวอล์ม มองด้วยสายตาตำหนิ ชายหนุ่มหน้าเหวอ คนในรถมองหน้ากันเลิกลัก หญิงสาวหันหลังหนีหน้ามุ่ย

ทุกอย่างเงียบงัน

อยู่ๆหญิงสาวหันขวับกลับมา จนเขาสะดุ้ง “ลำห้วยอยู่ขวามือ” เสียงบอกห้วนๆ ก่อนจะหันกลับไป

ชายหนุ่มที่หน้าหดเหลือสองนิ้ว ยิ้มตอบหวาดๆก่อนตอบรับเสียงหด “ก๊าบ ผม”

………………………………………………………………………………………………………………………………

 

รถวิ่งร่วมชั่วโมงกว่า บรรยากาศครุกรุ่น ทำเอาเขาได้แต่นั่งเงียบๆตัวลีบ แต่จะใจชื้นขึ้นมาหน่อยก็คือความสวยงามของธรรมชาติสองข้างทาง ถนนสองเลนที่พึ่งตัดใหม่ สีของถนนสีน้ำเงินเข้มตัดกับผืนป่าสีเขียวชอุ่ม เช้าๆยังมีเมฆปุยขาวลอยละเลียด ยอดเขาใกล้ๆ ลมเย็นๆพัดมาสดชื่น ชายหนุ่มสูดหายใจเต็มปอด เผลอยิ้มอย่างมีความสุขคนเดียว คนในรถพากันมองแปลกๆ

จนรถเริ่มเข้ามาในเขตชุมชน มีบ้านเรือน ต่อมาก็เริ่มมีร้านค้าหนาตาขึ้น รถราวิ่งสวนทางคึกคัก สองข้างทางเป็นตึกแถวไม้มีตึกปูนบ้างแต่ไม่มากนัก เขามองสองข้างทางอย่างสนใจ แขนเสื้อเหลืองๆเอื้อมไปกดกริ่ง

“กริ๊ง…”เสียงกริ่งเล็กๆดังลั่นรถ รถโดยสารค่อยๆชะลอจอด ผู้หญิงชุดวอล์มพร้อมด้วยข้าวของเตรียมลง หญิงสาวชะงักมองเข่าของชายหนุ่ม ที่ยาวขวางทาง ก่อนจะเหล่มองหน้าเจ้าของอย่างเอาเรื่อง ชายหนุ่มเหรอหราก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าขวางทาง รีบก้าวลงมายืนหลีกทางให้ยิ้มเจื่อนๆ หญิงสาวเหล่มองหางตาก่อนจะก้าวลงรถ

“คุณๆถึงแล้วเอื้องผึ้งเกสเฮาส์” เสียงคนขับตะโกนบอก เขามองไปอีกฝั่งถนน อาคารไม้สองชั้น มีป้ายไม้เขียนด้วยตัวหนังสือสีเหลือง “เอื้องผึ้งเกสเฮาส์”มีรูปกล้วยไม้ดอกสีเหลืองแปะอยู่ตรงท้าย เขาขอบคุณคนขับก่อนจะยกกระเป๋าลง

หน้าอาคาร เด็กหนุ่มตัวผอม ผิวเหลืองๆ ยืนจดๆจ้องๆ เมื่อเห็นรถโดยสารจอด เด็กหนุ่มคนนั้นก็โบกมือ ยิ้มมาแต่ไกลวิ่งข้ามถนนมา เด็กหนุ่มรีบชิงจ่ายค่าโดยสารพร้อมต่อว่าลุง ก่อนรถจะแล่นออกไป

“Hello nice to meet you” เด็กหนุ่มท่องภาษาอังกฤษใส่เพื่อนรุ่นพี่

“สวัสดีครับ” คนตอบ ตอบกลับภาษาไทย

“ผมเอ็ม ประวิทย์ครับ login เด็กชอบถ่ายครับ” เด็กหนุ่มยื่นมือมาเช็คแฮนด์

“ผมเคนอิจิครับ เรียกเค็นก็ได้” เขายื่นมือไปจับพร้อมรอยยิ้ม

หญิงสาวชุดเหลือง ที่ลงรถพร้อมกันยังยืนอยู่พรางมองการสนทนานั้นอย่างแปลกใจ จนเด็กหนุ่มผมแสกกลางมองไปเห็น จึงทักอย่างแปลกใจ “เอื้อยแปง ไปไหนมาครับ”

“ไปกรุงเทพมา น้องเอ็มมาวันใด” หญิงสาวพูดไปก็ทำหน้าประหลาดใจ พรางมองคนตัวสูงใหญ่กลายๆ

“ผมมาได้สองวันแล้ว จะกลับวันพรุ่งนี้” เด็กหนุ่มพูดยิ้มแย้ม ก่อนจะผายมือแนะนำ “นี่ๆเพื่อนผมเป็น “ช่างภาพสารคดี”” พรางป้องปากกระซิบ “นิตยสาร ฟิกชั่น เลยนะเอื้อย”

หญิงสาวเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่านิดหนึ่ง ที่ฉีกยิ้มแห้งๆ หญิงสาวเลยมองบางสิ่งที่ห้อยอยู่ตรงอกเขาแล้วขมวดคิ้วไม่พอใจขึ้นมาทันที เธอหันขวับไปหาเด็กหนุ่มถามเสียงเข้มทันที

“ถ่ายรูปๆอยู่นั่น อ่านหนังสือเรียนมั่งไหมน่ะ”

เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง ก่อนจะตอบตะกุกตะกัก “ก็อ่าน…อ่านตลอดแหละ”

“แล้วกลางภาค…ใครมันตกมีน” หญิงสาวเหล่มอง เด็กหนุ่มคอหด แม้เธอจะจบมาหลายปีแล้ว แต่ที่มหาลัยเพื่อนของเธอยังเรียนปริญญาโทอยู่ที่นั่น แถมเป็นผู้ช่วยสอนวิชาที่เอ็มลงเรียน ความเคลื่อนไหวของญาติผู้น้อง เธอจึงรู้ตลอด เด็กหนุ่มหน้าเจื่อนก่อนจะมองซ้ายมองขวา พูดเบาๆแทบจะกระซิบ “อย่าบอกพ่อกำนัน นะพี่”

หญิงสาวไม่ตอบ ยิ้มร้ายเดินหอบของเข้าบ้านไป เด็กหนุ่มมองตามอย่างหวาดๆ

คนแจ๊กเก็ตเขียวมองสองคนสลับไป สลับมาอย่าง งงๆ เด็กหนุ่มหันมายิ้มแห้งๆ

“แหะๆ ป้าแปงแก ก็โหดอย่างนี้แหละครับ ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้นซักหน่อย ป่ะ…ไปเช็คอินเกสเฮาส์ กันคับ พี่ช่างถ่ายรู…ป”

“เค็น ก็ได้มั้งครับน้อง”

สองคนเดินข้ามทาง ไปเกสเฮาส์ฝั่งตรงข้าม เสียงหัวเราะดังแว่วข้ามฝั่งถนน หญิงสาวชุดเหลือง แอบกลับมายืนมองดูอย่างจับผิด

“คำแปง มาถึงช้าแต๊ว่าลูกแม่กำลังจะโทรไปตาม” หญิงมีอายุ รูปร่างสันทัดแต่ยังดูสวย เค้าโครงหน้ามีส่วนละม้ายคล้ายเธอ โผล่มาจากครัวหลังร้านยิ้มแป้น

หญิงสาวพุ่มมือไหว้ “สวัสดีเจ๊า แม่” ก่อนจะหันไปค้นอะไรในถุงกระดาษใบหนึ่ง แล้วส่งกล่องเล็กๆ ให้ จันทร์เพ็ญรับไปเปิดดู เมื่อเห็นเป็นเครื่องแปลภาษาดิจิตอล ก็ยิ้มอย่างยินดี เสียงคนคิ้วขมวดสำทับ

“อย่าแปลจนดึกดื่น นะคะแม่ เดี๋ยวความดันขึ้น”

แม่รีบเดินไปสวมแว่นตา สาละวนอ่านคู่มือพรางเอ่ย “ไม่ดึกจ๊ะ แต่ช่วงนี้ตัวหนังสือพ่อเขาเขียน ยึกยือไปหน่อย”

หญิงสาวที่นั่งตรงข้ามคิ้วขมวดกึก พรางมองไปที่รูปใครคนหนึ่งที่ข้างฝา

“จะเขียนให้อ่านทั้งที ก็ไม่เขียนดีๆ” ก่อนจะลุกหนีไป

คนเป็นแม่ได้แต่มองตามอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะหันไปยิ้มบางๆให้รูปบนผนัง เมื่อไหร่หมอกเมฆแห่งความโกรธในหัวใจลูกจะสลายไปเสียที