เชียงจืน ตอน 2

                                                                      ๒

 

 

๕ นาทีต่อมา ชายหนุ่มแจ๊กเก็ตสีเขียวขี้ม้า ยังคงเดินวนเวียนอยู่ตรงกลุ่มต้นหูกวางตรงโน้น ปลายสถานี

๑๐ นาทีต่อมา คนเสื้อเขียวเวียนไปถามพนักงานขายตั๋วแล้วออกมาใหม่ เดินตรงมาเรื่อยๆเกือบจะเดินตรงมา ถูกทางแล้วแต่ดันเลี้ยวขวาผิดไปหูกวางอีกฝั่ง ไปคิวรถอีกอำเภอ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” หญิงสาวชุดวอล์มเหลือง นั่งกระหยิ่มยิ้มร่าอยู่คนเดียวบนรถสองแถว คนสองสามคนที่นั่งรอด้านนอก ทยอยขึ้นรถ รถกระบะสองแถวคันเล็กสตาร์ทเครื่องเตรียมออกเดินทาง……

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า สมตกรถ” จิตฝ่ายมารคิด

“แต่ เอะ..เขาจะมีธุระสำคัญไหมนะ? จะหลงทางเป็นอันตรายรึเปล่า” จิตฝ่ายนางฟ้าแว่บขึ้นมาเตือน “รึเราจะไปบอกรถรอดี” เธอครุ่นคิด

“โด่ จะเป็นอะไรไป ผู้ชายตัวเบอเริ่ม ตกรถรอบเช้าก็มีรอบบ่ายไงอีกหกชั่วโมงเอง รอไปสิ ฮ่าๆ” แล้วจิตฝ่ายมารก็ชนะ

รถสองแถวประจำทางสีแดงคันเล็ก ค่อยๆออกตัวเลี้ยวขึ้นถนนลาดยาง ออกวิ่งสู่อำเภอเชียงจืน ทิ้งลานหูกวางให้กลายเป็นฉากหลัง มีผู้หญิงชุดวอล์มสีเหลืองคนหนึ่งนั่งท้ายสุดชะโงกมองออกมาจากท้ายรถ ยิ้มร้ายอย่างเบิกบาน

…………………………………………………………………………………………………………………………………

 

เป็นเวลากว่า ๑๕ นาที ที่เขาวนอยู่ในลานกว้างของ “ต้นหูกวาง” “ใช่สิ ต้นหูกวางผู้หญิงคนนั้นบอกว่า รถสองแถวเข้าตัวอำเภอเชียงจืน จอดใต้ต้นหูกวาง….แล้วมันต้นไหน”

หลังสถานีรถไฟคือลานกว้าง เพราะตัวจังหวัดไม่มีรถไฟผ่าน ผู้คนที่เดินทางมาจังหวัดนี้ต้องที่สถานีนี้แล้วต่อรถเข้าตัวจังหวัด ลานหูกวางยังเป็นที่จอดของคิวรถอำเภอต่างๆ รถตู้ รถเมล์ที่วิ่งระหว่างจังหวัด หลังสถานีรถไฟจึงเต็มไปด้วยคิวรถและทุกคิวรถอยู่ใต้ต้นหูกวาง!

เขาเดินวนอยู่นาน มีหลายคนบอกทางแล้วแต่เขาก็ไม่เข้าใจ จนโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น

“สวัสดีครับ”เขารับสาย

“ฮัลโหลครับ นั่นพี่ ช่างถ่ายรู…ป ใช่ไหมครับ” เสียงปลายสายที่ดูอายุอ่อนกว่าถาม

“ครับ” เขารับคำ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “อ๋อ ..น้องเด็กชอบถ่าย.. ใช่ไหมครับ”

“ครับผมเอง ตอนนี้พี่ถึงไหนแล้วครับ”

“ลงรถไฟแล้วครับแต่ยังหารถ ต่อไปอำเภอเชียงจืนไม่ได้ครับ”

“ อ้าว….ลุงผมไม่ได้ไปรับพี่ เหรอครับ” เสียงปลายสายดูตกใจ “ลุงผมเป็นคนขับรถสองแถวรอบเช้า น่ะครับ ผมบอกให้ไปรับพี่แล้วแกคงลืม” ปลายสายนิ่งคิด “เดี๋ยวผมโทรบอกให้ลุงเดินเข้าไปรับ ใส่เสื้อสีอะไรครับ”

“แจ๊กเก็ตเขียวครับ” เขาตอบรับ

“พี่มาจริงๆเหรอเนี่ย ผมตื่นเต้นโคดๆ” เสียงเด็กหนุ่มปลายสายดีใจจนเก็บไว้ไม่มิด “เดี๋ยวเจอกันครับ ผมจะไปรอรับที่หน้าเกสเฮาส์”

…………………………………………………………………………………………………………………………………

 

รถสองแถวที่มีผู้โดยสารสี่คนที่หนักไปทางข้าวของสัมภาระ ทั้งขนม ของกิน อุปกรณ์ทางเกษตรวางเต็มพื้นทางเดิน หญิงสาวมองสองข้างทางบ้านเรือนชุมชนเก่าย่านสถานีรถไฟเพลินๆ

รถค่อยๆชะลอความเร็ว หญิงสาวลอบมองคนขับที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย เธอขมวดคิ้ว มองปฎิกิริยานั้นอย่างสันนิฐาน คนขับร่างผอมวางโทรศัพท์แล้วตะโกนบอกผู้โดยสารด้านหลัง

“ลืมคน ขอกลับไปสถานีรถไฟกำหนึ่งเน้อ”

รถสองแถวคันเล็ก กลับมาจอดที่เดิมอย่างรวดเร็ว คนขับร่างผอม รีบเดินกระหย่องกะแย่ง ไปทางตัวสถานีรถไฟ หญิงสาวชุดเหลือง มองตามลุงคนขับที่เดินหายลับไป ขมวดครุ่นคิด “ลืมใครน้อ หวังว่าคงไม่ใช่…..”

สักพัก ลุงคนขับเดินกลับมา ตามมาด้วยผู้ชายตัวสูง สวมกางเกงยีน รองเท้าหนังสีน้ำตาล แบกถุงทะเลใบโตสวมแจ็กเก็ตเขียว

“ชัดเลย…” หญิงสาวอุทานในใจ อย่างเบื่อหน่ายในโชคชะตา

………………………………………………………………………………………………………………………………..

 

ชายหนุ่มปีนขึ้นไปวางถุงทะเลใบโตบนหลังรถ เขามองเข้าไปในรถ รถสองแถวเต็มไปด้วยข้าวของทั้งพื้นทั้งเบาะนั่ง เขาจึงนั่งเก้าอี้เหล็กเสริมข้างนอก ชายหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวาจะหาเพื่อนคุยตามประสาคนช่างพูด พอมองไปข้างๆที่มีโครงรถกั้น

เป็นผู้หญิงชุดวอล์ม คนนั้น.. เธอนั่งหันหลังให้เขา แม้เธอจะดูไม่เป็นมิตรจากเหตุการณ์ตอนลงจากรถไฟ แต่เขาก็ไม่ได้ติดใจอะไรจึงถาม ออกไป

“อ้าว คุณพี่ไปเชียงจืนเหมือนกันเหรอครับ”

หญิงสาวชุดวอล์ม หันหน้าบุญไม่รับมามองเขา ก่อนจะตอบเสียงขุ่น “ค่ะ”

“เอ่อ ลำห้วยแม่จืน ที่สวยงามมากอยู่ ฝั่งซ้ายมือหรือขวามือครับ พี่” ชายหนุ่มผู้ไม่รู้อะไร ยังคงคุยต่อ แถมฉีกยิ้มรอคำตอบ

เธอหับขวับมาตาเขียวปั๊ดพร้อมระเบิดเสียง “พี่ๆ อยู่นั่นแหละ คุณอายุเท่าไรน่ะห่ะ”

ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงตกใจ “ยี่สิบแปด ครับ” เขาตอบเร็วเหมือนจรวด

“ฉันอายุ ยี่สิบหก หน้าฉันแก่มากเลยรึไง” คนชุดวอล์ม มองด้วยสายตาตำหนิ ชายหนุ่มหน้าเหวอ คนในรถมองหน้ากันเลิกลัก หญิงสาวหันหลังหนีหน้ามุ่ย

ทุกอย่างเงียบงัน

อยู่ๆหญิงสาวหันขวับกลับมา จนเขาสะดุ้ง “ลำห้วยอยู่ขวามือ” เสียงบอกห้วนๆ ก่อนจะหันกลับไป

ชายหนุ่มที่หน้าหดเหลือสองนิ้ว ยิ้มตอบหวาดๆก่อนตอบรับเสียงหด “ก๊าบ ผม”

………………………………………………………………………………………………………………………………

 

รถวิ่งร่วมชั่วโมงกว่า บรรยากาศครุกรุ่น ทำเอาเขาได้แต่นั่งเงียบๆตัวลีบ แต่จะใจชื้นขึ้นมาหน่อยก็คือความสวยงามของธรรมชาติสองข้างทาง ถนนสองเลนที่พึ่งตัดใหม่ สีของถนนสีน้ำเงินเข้มตัดกับผืนป่าสีเขียวชอุ่ม เช้าๆยังมีเมฆปุยขาวลอยละเลียด ยอดเขาใกล้ๆ ลมเย็นๆพัดมาสดชื่น ชายหนุ่มสูดหายใจเต็มปอด เผลอยิ้มอย่างมีความสุขคนเดียว คนในรถพากันมองแปลกๆ

จนรถเริ่มเข้ามาในเขตชุมชน มีบ้านเรือน ต่อมาก็เริ่มมีร้านค้าหนาตาขึ้น รถราวิ่งสวนทางคึกคัก สองข้างทางเป็นตึกแถวไม้มีตึกปูนบ้างแต่ไม่มากนัก เขามองสองข้างทางอย่างสนใจ แขนเสื้อเหลืองๆเอื้อมไปกดกริ่ง

“กริ๊ง…”เสียงกริ่งเล็กๆดังลั่นรถ รถโดยสารค่อยๆชะลอจอด ผู้หญิงชุดวอล์มพร้อมด้วยข้าวของเตรียมลง หญิงสาวชะงักมองเข่าของชายหนุ่ม ที่ยาวขวางทาง ก่อนจะเหล่มองหน้าเจ้าของอย่างเอาเรื่อง ชายหนุ่มเหรอหราก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าขวางทาง รีบก้าวลงมายืนหลีกทางให้ยิ้มเจื่อนๆ หญิงสาวเหล่มองหางตาก่อนจะก้าวลงรถ

“คุณๆถึงแล้วเอื้องผึ้งเกสเฮาส์” เสียงคนขับตะโกนบอก เขามองไปอีกฝั่งถนน อาคารไม้สองชั้น มีป้ายไม้เขียนด้วยตัวหนังสือสีเหลือง “เอื้องผึ้งเกสเฮาส์”มีรูปกล้วยไม้ดอกสีเหลืองแปะอยู่ตรงท้าย เขาขอบคุณคนขับก่อนจะยกกระเป๋าลง

หน้าอาคาร เด็กหนุ่มตัวผอม ผิวเหลืองๆ ยืนจดๆจ้องๆ เมื่อเห็นรถโดยสารจอด เด็กหนุ่มคนนั้นก็โบกมือ ยิ้มมาแต่ไกลวิ่งข้ามถนนมา เด็กหนุ่มรีบชิงจ่ายค่าโดยสารพร้อมต่อว่าลุง ก่อนรถจะแล่นออกไป

“Hello nice to meet you” เด็กหนุ่มท่องภาษาอังกฤษใส่เพื่อนรุ่นพี่

“สวัสดีครับ” คนตอบ ตอบกลับภาษาไทย

“ผมเอ็ม ประวิทย์ครับ login เด็กชอบถ่ายครับ” เด็กหนุ่มยื่นมือมาเช็คแฮนด์

“ผมเคนอิจิครับ เรียกเค็นก็ได้” เขายื่นมือไปจับพร้อมรอยยิ้ม

หญิงสาวชุดเหลือง ที่ลงรถพร้อมกันยังยืนอยู่พรางมองการสนทนานั้นอย่างแปลกใจ จนเด็กหนุ่มผมแสกกลางมองไปเห็น จึงทักอย่างแปลกใจ “เอื้อยแปง ไปไหนมาครับ”

“ไปกรุงเทพมา น้องเอ็มมาวันใด” หญิงสาวพูดไปก็ทำหน้าประหลาดใจ พรางมองคนตัวสูงใหญ่กลายๆ

“ผมมาได้สองวันแล้ว จะกลับวันพรุ่งนี้” เด็กหนุ่มพูดยิ้มแย้ม ก่อนจะผายมือแนะนำ “นี่ๆเพื่อนผมเป็น “ช่างภาพสารคดี”” พรางป้องปากกระซิบ “นิตยสาร ฟิกชั่น เลยนะเอื้อย”

หญิงสาวเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่านิดหนึ่ง ที่ฉีกยิ้มแห้งๆ หญิงสาวเลยมองบางสิ่งที่ห้อยอยู่ตรงอกเขาแล้วขมวดคิ้วไม่พอใจขึ้นมาทันที เธอหันขวับไปหาเด็กหนุ่มถามเสียงเข้มทันที

“ถ่ายรูปๆอยู่นั่น อ่านหนังสือเรียนมั่งไหมน่ะ”

เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง ก่อนจะตอบตะกุกตะกัก “ก็อ่าน…อ่านตลอดแหละ”

“แล้วกลางภาค…ใครมันตกมีน” หญิงสาวเหล่มอง เด็กหนุ่มคอหด แม้เธอจะจบมาหลายปีแล้ว แต่ที่มหาลัยเพื่อนของเธอยังเรียนปริญญาโทอยู่ที่นั่น แถมเป็นผู้ช่วยสอนวิชาที่เอ็มลงเรียน ความเคลื่อนไหวของญาติผู้น้อง เธอจึงรู้ตลอด เด็กหนุ่มหน้าเจื่อนก่อนจะมองซ้ายมองขวา พูดเบาๆแทบจะกระซิบ “อย่าบอกพ่อกำนัน นะพี่”

หญิงสาวไม่ตอบ ยิ้มร้ายเดินหอบของเข้าบ้านไป เด็กหนุ่มมองตามอย่างหวาดๆ

คนแจ๊กเก็ตเขียวมองสองคนสลับไป สลับมาอย่าง งงๆ เด็กหนุ่มหันมายิ้มแห้งๆ

“แหะๆ ป้าแปงแก ก็โหดอย่างนี้แหละครับ ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้นซักหน่อย ป่ะ…ไปเช็คอินเกสเฮาส์ กันคับ พี่ช่างถ่ายรู…ป”

“เค็น ก็ได้มั้งครับน้อง”

สองคนเดินข้ามทาง ไปเกสเฮาส์ฝั่งตรงข้าม เสียงหัวเราะดังแว่วข้ามฝั่งถนน หญิงสาวชุดเหลือง แอบกลับมายืนมองดูอย่างจับผิด

“คำแปง มาถึงช้าแต๊ว่าลูกแม่กำลังจะโทรไปตาม” หญิงมีอายุ รูปร่างสันทัดแต่ยังดูสวย เค้าโครงหน้ามีส่วนละม้ายคล้ายเธอ โผล่มาจากครัวหลังร้านยิ้มแป้น

หญิงสาวพุ่มมือไหว้ “สวัสดีเจ๊า แม่” ก่อนจะหันไปค้นอะไรในถุงกระดาษใบหนึ่ง แล้วส่งกล่องเล็กๆ ให้ จันทร์เพ็ญรับไปเปิดดู เมื่อเห็นเป็นเครื่องแปลภาษาดิจิตอล ก็ยิ้มอย่างยินดี เสียงคนคิ้วขมวดสำทับ

“อย่าแปลจนดึกดื่น นะคะแม่ เดี๋ยวความดันขึ้น”

แม่รีบเดินไปสวมแว่นตา สาละวนอ่านคู่มือพรางเอ่ย “ไม่ดึกจ๊ะ แต่ช่วงนี้ตัวหนังสือพ่อเขาเขียน ยึกยือไปหน่อย”

หญิงสาวที่นั่งตรงข้ามคิ้วขมวดกึก พรางมองไปที่รูปใครคนหนึ่งที่ข้างฝา

“จะเขียนให้อ่านทั้งที ก็ไม่เขียนดีๆ” ก่อนจะลุกหนีไป

คนเป็นแม่ได้แต่มองตามอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะหันไปยิ้มบางๆให้รูปบนผนัง เมื่อไหร่หมอกเมฆแห่งความโกรธในหัวใจลูกจะสลายไปเสียที

EP.1 เชียงจืน ..เมืองขุนเขาสายหมอก…ตอนที่ 1

 
ตอนที่.1  เมืองแรกเริ่ม เดิมที
             20.30 น. รถไฟขบวนกรุงเทพ-เชียงใหม่เข้าเทียบชานชลา สถานีบางเขน พร้อมๆกับประกาศจากสถานีดังลั่น “ขบวนรถ  ที่จอดเทียบชานชลา หมายเลขหนึ่งเป็นขบวนรถเที่ยวขึ้นขบวน51 รับผู้โดยสารสถานีกรุงเทพ ปลายทางสถานีเชียงใหม่ ผู้ประสงค์จะเดินทางโปรดตระเตรียมสิ่งของสัมภาระของท่านรอการโดยสารชานชลาที่หนึ่งครับ…ที่นี่สถานีบางเขน ที่นี่สถานีบางเขน๙ล๙” เสียงรถไฟจอดฟู่ฟ่า ผู้คนที่ชานชลากรูกันขึ้นรถ
            ที่ตู้ชั้นสอง เธอ ผู้หญิงคนนั้น เรือนผมยาวสีดำ ถูกมัดรวบด้วยหนังยางรัดแกงถุงอย่างลวกๆดูกระเซอะกระเซิง       หน้าม้านแดดและมันเยิ้ม สวมชุดวอล์มสีเหลืองหม่นเก่าๆ ข้างหลังสกรีน อ.บ.ต.บ้านอะไรสักอย่าง แขนขวา หิ้วถุงเจ็ดสีใบใหญ่     แขนซ้ายหิ้ว  ถุงหลากหลายสี ทั้งถุงกระดาษ ถุงผ้า ถุงพลาสติก เดินทุลักทุเลเข้ามาในโบกี้
            “ตุ๊บ” ถุงกระดาษสีเขียวใบหนึ่ง หล่นออกจากพวงถุงพลาสติกในมือ เธอกำลังจะหันตัวไปเก็บ ทันใดก็มีมือเล็กๆ        มาฉวยมันไป แล้วยื่นคืนให้พร้อมกับเสียง เล็กๆที่ดังพอที่จะทำให้คนทั้ง โบกี้หันมามอง
            “ป้าคะ ป้าทำของหล่นคะ”
             เธอยื่นมือไปรับของจากเด็กหญิง พร้อมกับยิ้มแห้งๆ เด็กวิ่งกลับไปหาแม่ที่นั่งรอลุ้น คุณแม่ปรบมือให้เด็กหญิง    ประมาณว่า “ลูกทำดีแล้วค่ะ” เธอมองหน้าแม่เด็ก แหมแก่กว่าเห็นๆ แต่เอะ! เด็กคนนั้นเรียกเธอว่า “ป้า”
            อะไรนะ “ป้า” เหรอ เธอช็อกคำว่า “ป้า” ที่ก้องอยู่ในหัว นี่หน้าฉันแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ!!!!
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
             หญิงสาวหยิบตั๋วมาคลี่ดู ที่นั่งเบอร์ 17 คือที่นั่งของเธอ จากการจองตั๋วไป-กลับ เธอลากของพะรุงพะรังมาหยุด      ตรงที่เขียนเลข 17 ด้วยเมจิกไว้บนผนังโบกี้ ใช่ที่นั่งของเธอคือ 17 ริมหน้าต่างและยังว่าง แต่ที่นั่งเบอร์18 ริมทางเดินที่ติดกับที่ของเธอ     มีผู้ชายคนหนึ่ง นอนกอดอก หลับนิ่งอยู่ หมวกใหมพรมไอ้โม่ง ถูกดึงลงมาปิดตา แต่นั่นไม่เท่าขายาวๆของเขาที่เหยียดยาวปิดทางเข้าของเบาะใน ที่นั่งของเธอ
            เธอกลั้นใจอยากจะเข้าไปนั่ง จัดวางข้าวของมากมายแสนหนักให้เรียบร้อย วันนี้เหนื่อยจะแย่ เธอพยายามจะก้าวข้าม   และเพราะขามันยาวแล้วเขาก็คงเป็นคนตัวสูง ขาที่เหยียดนั้นมันสูงจนจะก้าวข้ามก็ไม่ได้ ชายคนนั้นหลับนิ่งเหลือเกิน เธอจึงกลั้นใจเรียกออกไป แม้จะเกรงใจสุดชีวิต
           “คุณคะ…..” เงียบผู้ชายที่หลับไม่ไหวติง เธอหันรีหันขวาง รถก็ออกจากชานชลาแล้ว คนอื่นๆที่ขึ้นมาพร้อมกันก็จัดของ   ได้ที่นั่งกันหมดแล้ว เธอจึงเป็นคนเดียวที่ยืนหัวโด่อยู่กลางตู้รถไฟ
             เธอเริ่มอายที่มีสายตาหลายคนมองอย่างสนใจในเหตุการณ์ เธอจึงกลั้นใจ เรียกด้วยเสียงดังกว่าเดิม
             “คุณคะ คุณ…” เงียบร่างนั้นไม่ไหวติง หญิงสาวเริ่มอายอย่างมาก ที่ตกเป็นเป้าสายตา
             “ไม่ตื่น หร้อก….เจ๊ คนนั้นเห็นหลับมาตั้งแต่หัวลำโพง” เสียงอ้อแอ้ ลิ้นไก่สั้นจากที่นั่งอีกฟากดังขึ้น
              เมื่อเธอกลับหลังหันไปก็ต้องปะทะกับกลิ่นเหล้า เหม็นฉุน ผู้ชายผอมแห้ง อายุราวสี่สิบกว่าๆดูเมาหนักคนหนึ่ง        นั่งโงนเงน อยู่เบาะฟากข้างๆ
              “เจ๊ มานั่งคู่กับผมก็ด้ายยย ผมจองไว้กับเมีย เผอิญเมียผมม่ายยมา มันไปกับผัวใหม่แล้ววว…” ชายขี้เมาพูดอ้อแอ้    ตาแดงก่ำ    เธอทำหน้าสยอง มองไปที่นั่งอื่นๆในโบกี้ นอกจากเบาะข้างขี้เมา,ที่นั่งโดยชอบธรรมของเธอ,เบาะข้างพระภิกษุ          ซึ่งก็นั่งไม่ได้อยู่แล้ว ที่อื่นๆก็มีคนนั่งเต็มหมด เธอหน้าเสีย คุณป้าเบาะหน้าที่ดูเหตุการณ์มาซักระยะ หันมาเอ่ยขึ้น
               “นั่งตรงนี้ไปก่อน อิหนูเอ้ย คนนั้นเห็นหลับมาตลอดทาง ใครจะเรียก จะชนยังไงก็ไม่เห็นตื่น” คุณป้าพูด ก่อนจะ  ปรายตาไปที่ขี้เมา “มีอะไรก็เรียกป้ากับลุงนะ”หญิงสาวยิ้มใหว้ขอบคุณ ป้าเบาะหน้าที่แสดงความอาทร
                เธอมองผู้ชายที่หลับไม่ตื่น อย่างขุ่นๆ เธอจึงปลงใจ จำใจต้องนั่งคู่กับขี้เมา เธอมองหาที่เก็บของ เหนือที่นั่ง         อันชอบธรรมของเธอก็มีถุงทะเลสีเขียวใบโต วางกินที่จนเต็ม คงเป็นของใครไปเสียมิได้ นอกจากผู้ชายที่สร้างความเดือดร้อนคนนี้
              …..หมอนี่ เอาเปรียบคนอื่นแม้กระทั่งที่วางของ….เธอคิดในใจ พรางมองไปชั้นวางอื่นๆก็มีของผู้โดยสารคนอื่นอยู่เต็มเช่นกัน ที่ว่างที่เดียวก็คือบนหัวขี้เมา อีกแล้ว
                “จะวางของเหรอ เจ๊ มาๆผ้มช่วย” ชายขี้เมาตาแดงก่ำ ที่ให้ความสนใจทุกเหตุการณ์ ขี้เมายกถุงเจ็ดสีใบใหญ่ขึ้น     ก่อนจะเซแซดๆ จนเธอต้องผวา ไปรับทั้งคนทั้งถุงไว้ กลิ่นเหล้าระยะใกล้ เหม็นคลุ้ง เธอดึงถุงกลับมา
                “เอาขึ้น เองได้ค่ะ น้าไปนั่งเถอะ” ขี้เมาซวนเซนั่งลง เธอพยายามยกของขึ้นเอง จนคุณลุงเบาะหน้าทนดูไม่ได้         มาช่วยยกถุงใหญ่ขึ้นวางให้ เธอใหว้ขอบคุณ แล้วยอมทนนั่งกับขี้เมา
                 “จิงๆนะเจ๊ เมียนะ ตอนมาอยู่กะผม บอกทนด้าย จะกัดก้อนเกลือกิน บอกไม่มีอะไรก็อยู่ได้ นานไป                มันอยากจะมีนั่น มีนี่ จะเอาโทรทัศน์ วิทยุ สตอริโอ มันจะเอาบ้านตึกหลังโตๆ ๙ล๙” เสียงขี้เมาพร่ำเรื่องเมียทิ้งกรอกหู             เธอคอยพยักหน้าเออออ ไปด้วยอย่างจำใจ พรางยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาที่เหลือกว่าจะถึงปลายทาง …9 ชั่วโมง โอ้ชีวิต
                  หันมอง ชายผู้นอนหลับปุ๋ย ผู้ทำลายความชอบธรรมในที่นั่งของเธอ นอนเหยียดขาอย่างสบายอารมณ์          อย่างไม่พอใจ มาก…
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………... ………
                  ตีสี่กว่าๆ เธอพึ่งได้พักสายตา กว่าขี้เมาข้างๆจะหลับไปได้ก็ตีสามกว่า ไหนจะเมา ไหนจะอ้วก ไหนจะพูดพล่าม    กับกลิ่นเหล้าที่คลุ้งจนเธอปวดหัว
                  เธอต้องพาหัวที่หนักอึ้งจากความง่วง ไปยืนหลับในห้องน้ำตั้งสามรอบ นับว่าคืนนี้ไม่ได้นอนเลยก็ได้              พอมอง เบาะข้างๆ ที่นอนหลับปุ๋ย ก็เจ็บใจ จะก้าวข้ามขาสูงๆนั่นไปนั่งที่ตัวเองก็ทำไม่ได้ ทำเป็นของตกเสียงดัง ทำเป็นเดินผ่าน   แล้วชน          หมอนั่นก็ยังไม่ตื่นมา ยังคงหลับท่าเดิม เธอยิ่งไม่ชอบใจ
                  จ้องมองหมวก ไอ้โม่งสีน้ำตาลแดง เสื้อแจ๊กเก็ตเขียวขี้ม้ากับกางเกงบลูยีนส์ รองเท้าหนังสีน้ำตาลที่นอนหลับ    อย่างขุ่นเคือง “เจ้าประคู้ณขอให้หมอนี่ หลับฝันร้ายด้วยเถิ้ด” ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความง่วง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………
                 ครู่เดียว เสียงสวบสาบ เสียงรองเท้าหนักๆทำให้เธอรู้สึกตัวตื่นขึ้น แต่กว่าจะลืมตาที่เมื่อยล้าขึ้ได้                   
ก็พบเพียงความว่างเปล่าของที่นั่งเบอร์ 17 ผู้ชายที่เคยนอนเป็นตายตรงนั้นหายไปแล้ว เธอลิงโลดใจเหม็นเหล้าจนมึนหัวจะแย่อยู่แล้วเธอรีบลุกไปนั่งที่ของตนเอง เบอร์ 18 ริมหน้าต่าง พรางโล่งใจ หมอนั่นคงจะลงสถานีไหนไปแล้ว
                หญิงสาวเอนหลัง ปล่อยวางความเหน็ดเหนื่อยจากการตระเวนซื้อของฝากมาทั้งวัน แถมกว่าจะได้นอน              ก็เกือบตีสี่ แถมจะต้องมึนจากการฟังขี้เมาพล่าม เธอหยิบหมวกแก๊ปมาสวม ปิดตากันแสงไฟ ก่อนจะหลับไปอย่างสบายใจ         เป็นครั้งแรก ในรอบคืน
               ครู่ใหญ่ในความงัวเงีย เธอรู้สึก ลางๆว่ามีใคร ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เสียงรูดซิบเก็บของลงกระเป๋าใต้ที่นั่ง                 เธองัวเงียและเมื่อยล้าเกินกว่าจะตื่นขึ้นมา แต่หางตายังเห็นกางเกงบลูยีนส์กับรองเท้าหนังสีน้ำตาล
              “หมอนั่นยังไม่ได้ลง” เธอคิด
             เสียงเก็บของเงียบไป พร้อมกับเบาะข้าง เอนลงนอน เธอรับรู้ได้แค่นั้น ก่อนจะหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
             ฟ้าสางแล้วกว่ารถไฟจะมาถึงปลายทาง เธอตกใจ ทะลึ่งพรวดตื่นขึ้นมาเพราะเสียงหวูด  รถไฟเตรียมจะเข้าเทียบ     ชานชลาแล้ว ที่นั่งเบาะข้างว่างเปล่า เธอรีบเก็บข้าวของ ดึงถุงเจ็ดสีกับข้าวของพะรุง พะลังลงมา ขี้เมาหลับเป็นศพ สมล่ะอาละวาด   มาทั้งคืน
              เธอชำเลืองดู ถุงทะเลสีเขียวใบใหญ่ บนที่เก็บสัมภาระก็หายไป หนอยแน่ว่าจะดูหน้าดูตาเสียหน่อย คนนอนหลับ      เห็นแก่ตัว จนคนอื่นต้องเดือดร้อน แต่เธอก็จำแจ๊กเก็ตสีเขียวขี้ม้า กางเกงบลูยีนส์กับรองเท้าสีน้ำตาลได้แม่น จากการเพ่งมอง   อย่างแค้นเคืองมาทั้งคืน หญิงสาวไหว้ลาลุงกับป้าเบาะหน้า ก่อนหอบข้างของพะรุงพะลังไปที่ประตู
              รถค่อยๆจอดเทียบที่ชานชลา ผู้คนมากมายรีบเร่งขึ้นลง เพราะขบวนรถจะวิ่งต่อไปถึงเชียงใหม่มีเวลาจอดเพียง 5 นาที หญิงสาวก็ทุลักทุเล ลงมาจากขบวนรถ
               ไม่เคยมีใครมารับ….เหมือนเดิม เธอยักไหล่อย่างไม่แคร์ให้กับตัวเอง ก่อนจะลากถุงกระสอบต่อไป เพื่อข้ามรางรถไฟ อีกหนึ่งรางเพื่อไปฝั่งสถานี แล้วก็ต่อสองแถวไปบ้าน “อำเภอ เชียงจืน”
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
               เขาตื่นตอนฟ้าเริ่มสาง ยังดีนะที่ยังทันแสงแรกของวัน เขาอยากได้ภาพทางรถไฟ ที่ตัดทอดยาวกลางแนวป่าเขียวชอุ่ม พอฟ้าสางอีกไม่กี่ชั่วโมง ก็จะถึงสถานีที่จะต้องลงแล้ว เพราะที่หมายของเขาต้องลงรถไฟที่สถานีนี้ แล้วต่อรถสองแถวประจำทางเข้าไปอีกไกล
               เขาขนถุงทะเลใบใหญ่ไปด้วย เพราะตั้งใจจะไปถ่ายรูปที่ตู้สุดท้าย จะได้ไม่ต้องเดิน กลับไปกลับมา ผู้หญิงใส่ชุดวอล์มเบาะข้างๆ ยังนอนหมวกแก๊ปปิดหน้า เขาจึงยกถุงทะเลใบโตลง พยายามให้เงียบที่สุด ไม่อยากให้รบกวนเธอ แต่เมื่อคืน             เขาไปเข้าห้องน้ำ กลับมาก็เห็นผู้หญิงคนนี้ มานอนอยู่เบาะข้างๆเบาะที่ว่างมาตั้งแต่กรุงเทพ
               ว่างมาตั้งแต่กรุงเทพ รึเปล่านะ? เขาก็ไม่แน่ใจ เพราะตั้งแต่ขึ้นรถ ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาจากนิวยอร์ก แล้วไปบ้านคุณยายที่อยุธยา แล้วก็ตีรถ กลับมาเจอกับเพื่อนๆที่กรุงเทพ ตกดึกก็ขึ้นรถออกเดินทางต่อเลย แถมด้วยฤทธิ์เบียร์     นิดๆหน่อยๆ ทำเอาเขาเอนหลังได้ก็หลับเป็นตาย ถึงจะได้ยินเสียงเอะอะ เป็นบางช่วง แต่ความเมื่อยก็ทำให้เขาไม่ได้ตื่นขึ้นมาดู
               เขาพาดถุงทะเลขึ้นบ่า ออกเดินไปโบกี้สุดท้าย
               วันนี้โชคไม่ดีหมอกลงหนาจัด ไม่ได้รูปที่อยากได้ แต่ได้คุยอย่างถูกคอกับพี่เจ้าหน้าที่รถไฟแทน สามสิบนาทีต่อมา เสียงหวูดดังลั่น รถไฟก็ถึงสถานี ร่ำลากับเพื่อนใหม่
               เขาสะพายถุงทะเลขึ้นบ่า ผู้คนกรูกันขึ้นลงรถ เขารีบลงก่อนจะมายืน สังเกตการณ์หาทางต่อรถรถ แต่ก็มิวายคว้ากล้องมาถ่ายภาพที่ถูกใจ หันรีหันขวางอยู่สักพัก เขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังหอบหิ้วของมากมาย แถมลากถุงใบโต ข้ามรางรถไฟคนเดียว เขาจึงเข้าไปช่วย
                “ผมช่วยครับ คุณอา” เขาฉวยถุงเจ็ดสีที่ใหญ่มาก ช่วยข้ามรางรถไฟไปให้ โดยไม่ทันมองหน้าเจ้าของด้วยซ้ำ
                 เมื่อผู้หญิงคนนั้นเดินตามมาระยะใกล้ๆ ใบหน้านั้นไม่ใช่ป้าแก่ เหมือนการแต่งตัว แต่ใบหน้านั้นกลับตึงๆเหมือนไม่พอใจอะไรซักอย่าง ชายหนุ่มไม่เข้าใจ ได้แต่ยิ้มก่อนจะถามออกไป
                “รถไปเชียงจืน ขึ้นที่ไหนเหรอครับ พี่”
                ใบหน้าตึง เปลี่ยนเป็นตาเขียวปั๊ดทันที มองเขาอย่างไม่พอใจทันทีก่อนจะตอบอย่างเสียมิได้
                 “ใต้ต้นหูกวาง” เธอคว้าข้าวของ เดินตึงตังหนีไปทันที ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะถามอะไรอีก
                  เขาได้แต่มองตาม อย่างงงๆ “อะไร ของเขา”
…………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………
                “คุณอา” …….เธอทั้ง อึ้ง ทั้งช็อก กับคำสรรพนาม การเดินทางครั้งนี้ เธอถูกเรียก “อา” “ป้า” “เจ๊”              อะไรจะขนาดนั้น  ในชีวิตสาววัยยี่สิบหก ไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว แต่เอะผู้ชายคนเมื่อครู่? ถุงทะเล กางเกงบลูยีนส์ รองเท้าสีน้ำตาล แถมหมวกไหมพรมสีเลือดหมูยังคาอยู่บนหัว อีตาคนนอนขวางทางคนนั้น! ความโกรธจากเมื่อคืนครุขึ้นมากรุ่นๆ  หาไปเถอะต้นหูกวาง รอบสถานีรถไฟ มีเป็นร้อยต้น!

seven light ความรักเจ็ดสี [บทนำ]

        บทนำ

          เสียงวงสะล้อ ซอ ซึงบรรเลงในจังหวะสนุกสนานดังแว่วมา ผู้คนแต่งชุดล้านนาแบบโบราณย้อนยุค เดินขวักไขว่      เต็มท้องถนน คนหนุ่มคนสาวส่งเสียงคุยกัน โห่แซวดังมาแว่วๆ เด็กๆร่าเริง วิ่งเล่นกันสนุกสนาน ผู้คนพูดคุย ทักทายกันระหว่างทาง คนเฒ่าคนแก่เกล้าผมมวยเหน็บดอกไม้หอม บรรยากาศสนุกสนานและอบอุ่น

               ถนนสองเลน ทอดตัวยาวไปถึงวัดที่เห็นหลังคาโบสถ์ต้องแสงไฟระยิบระยับอยู่ไกลๆ ตลอดสองข้างทางประดับ    เรียงรายไปด้วยประทีปโคมไฟ สลับด้วยตุงล้านนาแกว่งไกวไสว

 

               ห้องแถวไม้สองชั้นติดถนน ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร ยังคงเปิดประตูโล่ง โต๊ะเจ็ดแปดตัวตั้งเรียงราย   มีคนสองคน     อยู่ในร้าน

              “ฉันมาก่อน ทุกที กลายเป็นว่าคนมาถึงก่อนต้องมารอตลอด ตลอด” ชายหนุ่มผมสั้น สวมเสื้อคอกลมสีขาว สวมทับด้วยแจ๊คเก็ตสีดำ ร่างสูงสันทัด เดินไปมา จับโน่นดูนี่ แกะนั่นรื้อนี่ เดี๋ยวเดิน เดี๋ยวนั่งอย่างคนอยู่ไม่สุข ก่อนจะเหลียวเห็น เก้าอี้โยกหวายตัวใหญ่ ก็ทิ้งตัวลงนั่ง คว้า รถของเล่นมาแกะ

              “เป็นอย่างนี้ทุกปีเลย ” หญิงสาวผมยาวลอนสีน้ำตาลแดง หน้าตาออกไปทางญี่ปุ่น สวมเสื้อยืดสีขาวที่มีคำกวนๆ    อยู่บนเสื้อกับกางเกงขาสั้น กำลังกินข้าวผัดอย่างเอร็ดอร่อย ตักคำก็บ่นเพื่อนคำ

              “ไอ้สี่คนนั้นมันยังไม่มาใช่มั๊ย น่าเบื่อจริงๆ นึกว่าหล่อหรือ ไง ชิ” หญิงสาวบ่นพร้อมกับกินข้าวผัดไปอีกคำ

              “ปีหน้าฉันจะมาสายๆ ให้ไอ้สี่คนนั้นมารอบ้าง” หญิงสาวกินข้าวด้วยอารมณ์ ฉุนเพื่อนที่มาช้า จะไม่ให้ฉุนได้ไง          ก็ไอ้สี่คนนั้นเล่นมาช้ายังนี้เกือบทุกปี และเธอก็บ่นอย่างนี้ทุกปี

               คนเสื้อแจ๊กเก็ตดำ บนเก้าอี้โยก ที่อยู่ตรงข้าม ดีดนิ้วเปาะ “ แจ่ม ข้าว ”

               สองคนลุกขึ้น แปะมือกันอย่างเห็นด้วย “ตามนั้น ปีหน้า” หึ หึ ปีหน้าพวกแกต้องมาก่อนฉัน ดูซิจะอารมณ์เสีย   อย่างฉันมั๊ย หญิงสาวขี้บ่นหัวเราะกับแผนการที่วางไว้ในปีหน้า

               หญิงสาวร่างสูง ผมดำยาวหยักศกปล่อยสยาย สวมผ้ากันเปื้อนเดินเข้ามาจากครัวหลังร้าน

              “เบื่อรอนัก ก็ไปช่วยไอ้ก้อยโบกรถหน้าวัดซี่” พลางวางจานอาหารสองสามอย่างกับชาเย็นแก้วใหญ่ลงบนโต๊ะ คนนั่ง  เก้าอี้โยก มือยาวมาคว้าปลาหมึกบดในจานเข้าปากทันที

               หญิงสาวขี้บ่นที่กินข้าวผัด ดูดชาเย็นในแก้วก่อนจะถาม “ไอ้ก้อยไปโบกรถทำไม มันเป็น อ.ป.พ.ร เหรอ”

              “โอ้ย อย่างไอ้นั่น ไม่ต้องเป็นหร้อก แต่ทำหน้าที่ยิ่งกว่า” คนเคี้ยวปลาหมึกชิงตอบ สาวร่างสูง พยักหน้าประมาณว่า ”ทำนองนั้น” ก่อนจะถาม “อยากกินอะไร กันอีกมั้ย” สองคนส่ายหัว คนหนึ่งตั้งหน้าตั้งตาเคี้ยวปลาหมึก อีกคนตักข้าวพัดจานใหญ่เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ

                จากหน้าร้านมองออกไปนอกถนน ผู้คนเริ่มซาเพราะทุกคนทยอยเข้าไปรวมกันในวัด รถเข็น     ขนมสายไหมสีสดสวยที่หยุดขายหน้าร้านเริ่มเงียบลงหลังจากผ่านสงครามการรุมซื้อจากเด็กๆ ลุงปั๋นคนขายเห็นตามหลักเศรษฐศาสตร์ว่าผู้คนเริ่มไปรอที่วัด มีคนที่ไหนมีความต้องการซื้อสายไหมที่นั่น แกส่งเสียงลาหญิงสาวร่างสูงเจ้าของร้านห้องแถว ก่อนจะเข็นรถออกไป

                รถยุโรปสีดำ เข้ามาจอดเทียบหน้าร้านแทนที่ ประตูรถเปิดออก ประตูข้างคนขับก็เปิดออก มีชายหนุ่มที่ดูดี       อย่างร้ายกาจ เสือยืดสีฟ้า กางเกงเข้ารูป ใบหน้าคมคาย แต่มีแววตาที่ขี้เล่นก้าวลงมา ส่วนด้านคนขับมีชายหนุ่มหน้าตาละม้ายคล้ายชายคนแรกที่ลงมา แต่ดูเป็นผู้ใหญ่และเข้มกว่า ใส่เสื้อโปโลสีขาว กางเกงยีน

                “เฮ้ กันต์กับกานต์ มาแล้ว” คนสามคนในร้าน ร้องทักทายสองหนุ่มที่มาใหม่ หนุ่มแจ๊กเก็ตดำ โผเข้าไปกอดคอ    สองหนุ่ม ก่อนจะหันไปหาชายหนุ่มเสือยืดสีฟ้า

                “เป็นไง มั่งวะเอ็ง” ชายหนุ่มแจ๊กเก็ตดำ ร้องทักเพื่อน พร้อมเอาหน้าเข้ามาใกล้ ๆ

                 กานต์ปิดจมูก “ไอ้ต่อ กินอะไร มาวะ ปากเหม็นชิบ”

                 คนโดนว่าปากเหม็น ยิ่งยืนหน้าเข้าใส่ ก่อนจะตอบชนิดปากจ่อจมูก “ปลาหมึกกกกกกก”

                 กานต์ผลักหน้าเพื่อนหน้าหงาย “อื้อหือ ไอ้ต่อทุเรศเหลือเกิน”

                 คนโดนผลักหน้าหงาย หัวเราะงอก่องอขิง ลงไปนั่งกุมท้องบนเก้าอี้โยก

                 กานต์ เดินมานั่งตรงข้ามกับคนกินข้าวผัด มองจานกับข้าวมากมายบนโต๊ะ ก่อนหยิบปลาหมึกบดมากิน สายตาคมมองจานข้าวผัด พูนๆหอมกรุนของคนตรงข้าม อย่างหมายมั่น ก่อนจะคว้าช้อนใกล้มือ จ้วงข้าวผัดของ เขาเข้าปากหน้าตาเฉย

                “เฮ้ยๆ อะไรไอ้กานต์ มาช้าแล้วยังมาแย่งข้าวฉันกิน อีกหรอ ” เจ้าของทักท้วง พยายามปกป้องจานข้าวผัดของตน

                “อ้าว ข้าว นี่ฉันกำลังไถ่โทษการมาสายของฉันอยู่นะ เธอไม่รู้เหรอ ว่าการกินอาหารหลังหนึ่งทุ่ม มันจะทำให้อ้วน” คนพูดข้าวผัดเต็มปาก “แต่เธอก็มีฉันมาช่วยแบ่งเบาแล้ว เธอจะไม่อ้วนอีกต่อไป เธอควรจะขอบใจฉันนะ ” ตักคำใหญ่อีกคำเข้าปาก

                เจ้าของข้าวผัดตาโตอย่างไม่พอใจ พร้อมกัดฟันพูด ด้วยความมั่นไส้ เพื่อน “ ขอบใจมากนะ ” ก่อนจะหรี่ตา        ทำหน้าเจ้าเล่ห์ “ แต่ฉันถุยน้ำลาย ใส่ไว้หมดแล้ว”

               “ฉันไม่ถือ” กานต์ตักข้าวผัดคำโตเข้าปาก กานต์ไม่สนใจอะไรแล้ว เขาไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้า เมื่อคืนเขาเร่งทำงาน    ให้เสร็จพอเสร็จ ตอนเช้าพี่ชายเขาก็มาตามให้ขึ้นรถมาเลย และไม่ได้แวะกินอะไรด้วย

                เจ้าของข้าวผัด กำช้อนแน่นอย่างไม่ยอม “เอ้อ เอาสิ แย่งกินทันก็แย่งเลย” พลางทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ

                “อ้าว หมดโต๊ะนี้ใครอิ่มก่อนคนนั้นแพ้” กานต์ชูช้อนอย่างท้าทาย

               “ได้เลย” หญิงสาวเจ้าของข้าวผัดชูช้อนรับคำท้า อีกคนถลกแขนเสื้อ “มาเลย”

               “เดี๋ยวๆ” แจ๊กเก็ตดำ ลุกพรวดมาจาเก้าอี้โยก “ขอเอา ปลาหมึกของฉัน ออกจากการแข่งขัน” สองคนรีบยึดจานไว้  “ไม่ได้ #*-/+*-/*##%$%*/+”  เสียงเถียงกันโหวกเหวก

               หนุ่มเสื้อโปโลสีขาว ท่าทางเงียบขรึมกับสาวร่างสูงมองอยู่ข้างนอก หนุ่มเสื้อขาว ส่ายหน้าอย่างขำๆ หันไปหา        สาวร่างสูง “แต่ละคนมันไม่ได้โต กันขึ้นเลยนะ ไปเถอะคำแปง เอาของสดไปเก็บในครัวกัน”

              สาวร่างสูงหันมายิ้ม ก่อนจะช่วยถือถุงของกินมากมายเดินนำเข้าไปในครัว “กันต์ การ์ตูนที่ฝากซื้อได้รึเปล่า”

             “ได้อยู่ ในรถ เรื่องราวไปถึงไหนแล้ว”

             “ตอนนี้กลุ่มก็มารวมตัวที่เกาะ ชาบอนดี้แล้ว กำลังจะไปเกาะเงือก ๙ล๙”

             เวลาผ่านไปสักครู่ เสียงผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนมาแต่ไกล

             “ทุกคน”

            “ทุกคนมารึยัง” สาวผมเปียเดี่ยวสีน้ำตาลยุ่งเหยิง หน้าชื้อเหงื่อ สวมเอี้ยมจราจรสีส้มสะท้อนแสง มาหยุดยืนเท้าเขา   หอบแหกๆหน้าร้าน ก่อนจะมองคนในร้านแล้วยิ้มกว้างอย่างดีใจ

            “มากันแล้วเหรอ”

            สามคนที่แย่งกันกินเต็มปากหันมาอุทานพร้อมกันอย่างลิงโลด “ไอ้ก้อย”

            สองคนที่เดินมาจากครัวหลังร้านยิ้มให้อย่างยินดี

            หญิงสาวผมเปีย ยิ้มรับ “ไอ้ช้างมาแล้วนะ อยู่หลังเวที” ก่อนจะเริ่มทำหน้าตระหนก ทุกคนเริ่มมองหน้ากันเลิกลัก

            “และตอนนี้ โฆษก เขาประกาศเปิดให้แล้ว กำลังเรียกพวกเราขึ้นเล่นแล้ว” สิ้นเสียงคนผมเปียทุกคนอุทานพร้อมกัน

             “ห๋า”

            ก่อนจะตามมาด้วยเสียงก่นด่าไฟแลบ

            “ไหงงั้น บอกให้มารวมตัวกันบ้านคำแปงก่อนไง”

            “ให้ตายสิ ยังไม่ได้ซ้อม รวมกันเลยซักเพลง”

            “ไอ้ช้าง เอ้ยยย เมิงชื่อช้างหรือฟายดีฟระ”

             “เอาล่ะ” เสียงจากคนเสื้อโปโลขาว ที่เงียบที่สุด “เอาเป็นว่า รีบไปที่วัด ไปเซ็ตเครื่องดนตรี แล้วให้โฆษกช่วยประกาศดึงเวลา เอาล่ะไปเร็ว” ทุกคนพยักหน้า ขบวนโกลาหล วิ่งกรูไปวัด

              ลานดินกว้างหน้าวัด ถูกจัดยกร้านขึ้นเป็นเวทีเล็กๆ มีแสงไฟหลอดนีออนหลากสี สาดส่องพยายามให้อลังการเหมือนเวทีคอนเสิร์ต …เอ่อ แต่ไม่ มีโฆษกร่างอ้วนยืนประกาศปากเปล่าอยู่บนเวที

             “พ่อแม่พี่น้องชาวเชียงจืน ทุกท่าน และอำเภอใกล้เคียง คืนนี้เป็นงานนมัสการพระธาตุประจำปี สำหรับค่ำคืนนี้เราได้รับเกียรติจากดารา ดาวรุ่งขวัญใจมหาชน ซึ่งก็เป็นลูกหลานของอำเภอเชียงจืนเรานี่เอง….”

               ผัวะ! เสียงจากหลังเวทีดังขึ้น “ไอ้ช้าง เขาให้ไปรวมตัวกันบ้านไอ้คำแปง ไอ้ฟราย”

              “ฉันลืมง่ะ.. เลยบอกรถมาลงหลังเวที…ถึงว่าไม่มีใคร”

              “คิงมัน ง่าว” เสียงประสานดังขึ้นพร้อมเพรียง จนคนหน้าเวทีสะดุ้ง โฆษกตกใจแต่รีบแก้เก้อ “คงซ้อมการแสดงน่ะครับ ก่อนจะหันไปขยิบตา รับซิกจากคนส่งซิกหลังเวที

              “ตอนนี้หลังเวทีพร้อมแล้วนะครับ ถึงเวลาที่ทุกท่านรอคอย วงดนตรีลูกหลานคนเชียงจืนและพระเอกดังดาวรุ่ง      เพื่อจัดหากองทุนเพิ่มหนังสือให้ห้องสมุด ในโรงเรียนของอำเภอเชียงจืนเรานะครับ “

              เสียงปรบมือกราว นักดนตรีทั้งเจ็ดคน เดินแถวออกมาประจำที่เครื่องดนตรีตัวเองอย่างเขินๆ

              “คนแรก น้องคำแปง แสนไชยยะ หรือน้องแปง ลูกสาวแม่เพ็ญ วันนี้จะมาโชว์ลีลา กีต้าร์ไฟฟ้า” มีเสียงฮือฮาจากผู้ชม

              “ต่อมา เป็นคู่พี่น้อง อดีตนักเรียนดีเด่นของอำเภอ หลานแม่อุ้ยแจ่ม กันต์และกานต์ ครับ กานต์โบกมือหยอยๆเลียนแบบนางสาวไทย กันต์ยิ้มก้มหัวทักทาย

              และนักร้องหน้าตาญี่ปุ่น หนูข้าว กนกอร หญิงสาวยิ้มชูสองนิ้ว วันนี้หนูข้าวจะมาโชว์น้ำเพลงอันไพเราะให้พวกเราฟัง   ขอเสียงตอนรับหนูข้าวครับ มีเสียงหวิววิ้ว....วิ้ว... จากผู้ชม

             พิธีกรมาหยุดที่หนุ่มเสื้อแจ๊กเก็ตดำที่นั่งหลังกลองชุด “ตามมาด้วยหมวดหนุ่มสุดหล่อ หลานแม่อุ้ยหนู ร้อยตำรวจโทอดิศรครับ … “สาวๆหน้าเวทีฝากถามว่า ยังโสดมั้ยครับ” ตำรวจแจ๊กเก็ตดำยิ้มตาหยี “โสดครับ” แถมด้วยยักคิ้วข้างเดียว เรียกเสียงกรี๊ดอีกหนึ่งระลอก

             พิธีกรมาหยุดตรงสาวผมเปีย ที่นั่งอุ้มกีต้าร์โปร่ง “โอ้ คนนี้ทุกคนคุ้นเคยกันดี พี่เทืองของเรานั่นเองครับ” เสียงเด็กวัยรุ่นชายกลุ่มข้างๆเวที ปรบมือเชียร์ออกนอกหน้า “วันนี้เล่นอะไรครับ”พิธีกรร่างอ้วนถาม “ซออู้มั้งคะ” คนผมเปียตอบหน้ากวนๆ พิธีกรหันหลังหนีขวับ

             “และสุดท้าย ซุปเปอร์สตาร์ที่ท่านรอคอย “วารณ ครับ” เสียงกรี๊ดดังสนั่น หนุ่มใบหน้าหล่อเหลา ยิ้มกว้างค้อมตัวสวัสดีรอบทิศ

             “สวัสดีครับ คืนนี้วงเซเวน ไลท์ ของพวกเราขอมอบเพลง เป็นเกียรติกับทุกๆท่านนะครับ วันนี้จะหาเงินซื้อหนังสือ อุปกรณ์ทดลอง ให้โรงเรียนของบ้านเรานะครับ” หยุดไปรับดอกไม้ “จะมีน้องๆถือสลุงสำหรับใส่เงินอยู่ใกล้ๆท่านนะครับ ชอบเพลงของพวกเรามากก็ใส่เงินในสลุงมากๆนะครับ “ ทำหน้าหน้าสงสาร “แต่ถ้าไม่ชอบ ก็ยิ่งต้องใส่เงินในสลุงมากๆ ถือว่าเป็นค่าหยุดร้อง     นะครับ จ่ายเยอะๆจะได้เลิกร้องเร็วๆ” เรียกเสียงหัวเราะครืนจากผู้ชม

            ทุกคนหันมามองกันต์ กันต์พยักหน้า ดนตรีบรรเลง

          “วันนี้ฝนตก…. ไหลลงที่หน้าต่าง เธอคิดถึงฉันบ้างไหมหนอเธอ……”

            เสียงเพลง ในจังหวะฟังสบาย ก้องอบอวล คนในหมู่บ้านนั่งฟังเพลงของเหล่าลูกหลานอย่างมีความสุข และแอบดีใจลึก ๆ ว่าเด็กๆ ที่พวกเขาเห็นเล่นซนกันมาตั้งแต่เด็กๆ พอโตมาจะเป็นคนดี เป็นที่ภูมิใจของหมู่บ้าน ลูกหลานที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ก็ไม่เคยลืมบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง