EP.1 เชียงจืน ..เมืองขุนเขาสายหมอก…ตอนที่ 1

 
ตอนที่.1  เมืองแรกเริ่ม เดิมที
             20.30 น. รถไฟขบวนกรุงเทพ-เชียงใหม่เข้าเทียบชานชลา สถานีบางเขน พร้อมๆกับประกาศจากสถานีดังลั่น “ขบวนรถ  ที่จอดเทียบชานชลา หมายเลขหนึ่งเป็นขบวนรถเที่ยวขึ้นขบวน51 รับผู้โดยสารสถานีกรุงเทพ ปลายทางสถานีเชียงใหม่ ผู้ประสงค์จะเดินทางโปรดตระเตรียมสิ่งของสัมภาระของท่านรอการโดยสารชานชลาที่หนึ่งครับ…ที่นี่สถานีบางเขน ที่นี่สถานีบางเขน๙ล๙” เสียงรถไฟจอดฟู่ฟ่า ผู้คนที่ชานชลากรูกันขึ้นรถ
            ที่ตู้ชั้นสอง เธอ ผู้หญิงคนนั้น เรือนผมยาวสีดำ ถูกมัดรวบด้วยหนังยางรัดแกงถุงอย่างลวกๆดูกระเซอะกระเซิง       หน้าม้านแดดและมันเยิ้ม สวมชุดวอล์มสีเหลืองหม่นเก่าๆ ข้างหลังสกรีน อ.บ.ต.บ้านอะไรสักอย่าง แขนขวา หิ้วถุงเจ็ดสีใบใหญ่     แขนซ้ายหิ้ว  ถุงหลากหลายสี ทั้งถุงกระดาษ ถุงผ้า ถุงพลาสติก เดินทุลักทุเลเข้ามาในโบกี้
            “ตุ๊บ” ถุงกระดาษสีเขียวใบหนึ่ง หล่นออกจากพวงถุงพลาสติกในมือ เธอกำลังจะหันตัวไปเก็บ ทันใดก็มีมือเล็กๆ        มาฉวยมันไป แล้วยื่นคืนให้พร้อมกับเสียง เล็กๆที่ดังพอที่จะทำให้คนทั้ง โบกี้หันมามอง
            “ป้าคะ ป้าทำของหล่นคะ”
             เธอยื่นมือไปรับของจากเด็กหญิง พร้อมกับยิ้มแห้งๆ เด็กวิ่งกลับไปหาแม่ที่นั่งรอลุ้น คุณแม่ปรบมือให้เด็กหญิง    ประมาณว่า “ลูกทำดีแล้วค่ะ” เธอมองหน้าแม่เด็ก แหมแก่กว่าเห็นๆ แต่เอะ! เด็กคนนั้นเรียกเธอว่า “ป้า”
            อะไรนะ “ป้า” เหรอ เธอช็อกคำว่า “ป้า” ที่ก้องอยู่ในหัว นี่หน้าฉันแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ!!!!
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
             หญิงสาวหยิบตั๋วมาคลี่ดู ที่นั่งเบอร์ 17 คือที่นั่งของเธอ จากการจองตั๋วไป-กลับ เธอลากของพะรุงพะรังมาหยุด      ตรงที่เขียนเลข 17 ด้วยเมจิกไว้บนผนังโบกี้ ใช่ที่นั่งของเธอคือ 17 ริมหน้าต่างและยังว่าง แต่ที่นั่งเบอร์18 ริมทางเดินที่ติดกับที่ของเธอ     มีผู้ชายคนหนึ่ง นอนกอดอก หลับนิ่งอยู่ หมวกใหมพรมไอ้โม่ง ถูกดึงลงมาปิดตา แต่นั่นไม่เท่าขายาวๆของเขาที่เหยียดยาวปิดทางเข้าของเบาะใน ที่นั่งของเธอ
            เธอกลั้นใจอยากจะเข้าไปนั่ง จัดวางข้าวของมากมายแสนหนักให้เรียบร้อย วันนี้เหนื่อยจะแย่ เธอพยายามจะก้าวข้าม   และเพราะขามันยาวแล้วเขาก็คงเป็นคนตัวสูง ขาที่เหยียดนั้นมันสูงจนจะก้าวข้ามก็ไม่ได้ ชายคนนั้นหลับนิ่งเหลือเกิน เธอจึงกลั้นใจเรียกออกไป แม้จะเกรงใจสุดชีวิต
           “คุณคะ…..” เงียบผู้ชายที่หลับไม่ไหวติง เธอหันรีหันขวาง รถก็ออกจากชานชลาแล้ว คนอื่นๆที่ขึ้นมาพร้อมกันก็จัดของ   ได้ที่นั่งกันหมดแล้ว เธอจึงเป็นคนเดียวที่ยืนหัวโด่อยู่กลางตู้รถไฟ
             เธอเริ่มอายที่มีสายตาหลายคนมองอย่างสนใจในเหตุการณ์ เธอจึงกลั้นใจ เรียกด้วยเสียงดังกว่าเดิม
             “คุณคะ คุณ…” เงียบร่างนั้นไม่ไหวติง หญิงสาวเริ่มอายอย่างมาก ที่ตกเป็นเป้าสายตา
             “ไม่ตื่น หร้อก….เจ๊ คนนั้นเห็นหลับมาตั้งแต่หัวลำโพง” เสียงอ้อแอ้ ลิ้นไก่สั้นจากที่นั่งอีกฟากดังขึ้น
              เมื่อเธอกลับหลังหันไปก็ต้องปะทะกับกลิ่นเหล้า เหม็นฉุน ผู้ชายผอมแห้ง อายุราวสี่สิบกว่าๆดูเมาหนักคนหนึ่ง        นั่งโงนเงน อยู่เบาะฟากข้างๆ
              “เจ๊ มานั่งคู่กับผมก็ด้ายยย ผมจองไว้กับเมีย เผอิญเมียผมม่ายยมา มันไปกับผัวใหม่แล้ววว…” ชายขี้เมาพูดอ้อแอ้    ตาแดงก่ำ    เธอทำหน้าสยอง มองไปที่นั่งอื่นๆในโบกี้ นอกจากเบาะข้างขี้เมา,ที่นั่งโดยชอบธรรมของเธอ,เบาะข้างพระภิกษุ          ซึ่งก็นั่งไม่ได้อยู่แล้ว ที่อื่นๆก็มีคนนั่งเต็มหมด เธอหน้าเสีย คุณป้าเบาะหน้าที่ดูเหตุการณ์มาซักระยะ หันมาเอ่ยขึ้น
               “นั่งตรงนี้ไปก่อน อิหนูเอ้ย คนนั้นเห็นหลับมาตลอดทาง ใครจะเรียก จะชนยังไงก็ไม่เห็นตื่น” คุณป้าพูด ก่อนจะ  ปรายตาไปที่ขี้เมา “มีอะไรก็เรียกป้ากับลุงนะ”หญิงสาวยิ้มใหว้ขอบคุณ ป้าเบาะหน้าที่แสดงความอาทร
                เธอมองผู้ชายที่หลับไม่ตื่น อย่างขุ่นๆ เธอจึงปลงใจ จำใจต้องนั่งคู่กับขี้เมา เธอมองหาที่เก็บของ เหนือที่นั่ง         อันชอบธรรมของเธอก็มีถุงทะเลสีเขียวใบโต วางกินที่จนเต็ม คงเป็นของใครไปเสียมิได้ นอกจากผู้ชายที่สร้างความเดือดร้อนคนนี้
              …..หมอนี่ เอาเปรียบคนอื่นแม้กระทั่งที่วางของ….เธอคิดในใจ พรางมองไปชั้นวางอื่นๆก็มีของผู้โดยสารคนอื่นอยู่เต็มเช่นกัน ที่ว่างที่เดียวก็คือบนหัวขี้เมา อีกแล้ว
                “จะวางของเหรอ เจ๊ มาๆผ้มช่วย” ชายขี้เมาตาแดงก่ำ ที่ให้ความสนใจทุกเหตุการณ์ ขี้เมายกถุงเจ็ดสีใบใหญ่ขึ้น     ก่อนจะเซแซดๆ จนเธอต้องผวา ไปรับทั้งคนทั้งถุงไว้ กลิ่นเหล้าระยะใกล้ เหม็นคลุ้ง เธอดึงถุงกลับมา
                “เอาขึ้น เองได้ค่ะ น้าไปนั่งเถอะ” ขี้เมาซวนเซนั่งลง เธอพยายามยกของขึ้นเอง จนคุณลุงเบาะหน้าทนดูไม่ได้         มาช่วยยกถุงใหญ่ขึ้นวางให้ เธอใหว้ขอบคุณ แล้วยอมทนนั่งกับขี้เมา
                 “จิงๆนะเจ๊ เมียนะ ตอนมาอยู่กะผม บอกทนด้าย จะกัดก้อนเกลือกิน บอกไม่มีอะไรก็อยู่ได้ นานไป                มันอยากจะมีนั่น มีนี่ จะเอาโทรทัศน์ วิทยุ สตอริโอ มันจะเอาบ้านตึกหลังโตๆ ๙ล๙” เสียงขี้เมาพร่ำเรื่องเมียทิ้งกรอกหู             เธอคอยพยักหน้าเออออ ไปด้วยอย่างจำใจ พรางยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาที่เหลือกว่าจะถึงปลายทาง …9 ชั่วโมง โอ้ชีวิต
                  หันมอง ชายผู้นอนหลับปุ๋ย ผู้ทำลายความชอบธรรมในที่นั่งของเธอ นอนเหยียดขาอย่างสบายอารมณ์          อย่างไม่พอใจ มาก…
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………... ………
                  ตีสี่กว่าๆ เธอพึ่งได้พักสายตา กว่าขี้เมาข้างๆจะหลับไปได้ก็ตีสามกว่า ไหนจะเมา ไหนจะอ้วก ไหนจะพูดพล่าม    กับกลิ่นเหล้าที่คลุ้งจนเธอปวดหัว
                  เธอต้องพาหัวที่หนักอึ้งจากความง่วง ไปยืนหลับในห้องน้ำตั้งสามรอบ นับว่าคืนนี้ไม่ได้นอนเลยก็ได้              พอมอง เบาะข้างๆ ที่นอนหลับปุ๋ย ก็เจ็บใจ จะก้าวข้ามขาสูงๆนั่นไปนั่งที่ตัวเองก็ทำไม่ได้ ทำเป็นของตกเสียงดัง ทำเป็นเดินผ่าน   แล้วชน          หมอนั่นก็ยังไม่ตื่นมา ยังคงหลับท่าเดิม เธอยิ่งไม่ชอบใจ
                  จ้องมองหมวก ไอ้โม่งสีน้ำตาลแดง เสื้อแจ๊กเก็ตเขียวขี้ม้ากับกางเกงบลูยีนส์ รองเท้าหนังสีน้ำตาลที่นอนหลับ    อย่างขุ่นเคือง “เจ้าประคู้ณขอให้หมอนี่ หลับฝันร้ายด้วยเถิ้ด” ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความง่วง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………
                 ครู่เดียว เสียงสวบสาบ เสียงรองเท้าหนักๆทำให้เธอรู้สึกตัวตื่นขึ้น แต่กว่าจะลืมตาที่เมื่อยล้าขึ้ได้                   
ก็พบเพียงความว่างเปล่าของที่นั่งเบอร์ 17 ผู้ชายที่เคยนอนเป็นตายตรงนั้นหายไปแล้ว เธอลิงโลดใจเหม็นเหล้าจนมึนหัวจะแย่อยู่แล้วเธอรีบลุกไปนั่งที่ของตนเอง เบอร์ 18 ริมหน้าต่าง พรางโล่งใจ หมอนั่นคงจะลงสถานีไหนไปแล้ว
                หญิงสาวเอนหลัง ปล่อยวางความเหน็ดเหนื่อยจากการตระเวนซื้อของฝากมาทั้งวัน แถมกว่าจะได้นอน              ก็เกือบตีสี่ แถมจะต้องมึนจากการฟังขี้เมาพล่าม เธอหยิบหมวกแก๊ปมาสวม ปิดตากันแสงไฟ ก่อนจะหลับไปอย่างสบายใจ         เป็นครั้งแรก ในรอบคืน
               ครู่ใหญ่ในความงัวเงีย เธอรู้สึก ลางๆว่ามีใคร ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เสียงรูดซิบเก็บของลงกระเป๋าใต้ที่นั่ง                 เธองัวเงียและเมื่อยล้าเกินกว่าจะตื่นขึ้นมา แต่หางตายังเห็นกางเกงบลูยีนส์กับรองเท้าหนังสีน้ำตาล
              “หมอนั่นยังไม่ได้ลง” เธอคิด
             เสียงเก็บของเงียบไป พร้อมกับเบาะข้าง เอนลงนอน เธอรับรู้ได้แค่นั้น ก่อนจะหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
             ฟ้าสางแล้วกว่ารถไฟจะมาถึงปลายทาง เธอตกใจ ทะลึ่งพรวดตื่นขึ้นมาเพราะเสียงหวูด  รถไฟเตรียมจะเข้าเทียบ     ชานชลาแล้ว ที่นั่งเบาะข้างว่างเปล่า เธอรีบเก็บข้าวของ ดึงถุงเจ็ดสีกับข้าวของพะรุง พะลังลงมา ขี้เมาหลับเป็นศพ สมล่ะอาละวาด   มาทั้งคืน
              เธอชำเลืองดู ถุงทะเลสีเขียวใบใหญ่ บนที่เก็บสัมภาระก็หายไป หนอยแน่ว่าจะดูหน้าดูตาเสียหน่อย คนนอนหลับ      เห็นแก่ตัว จนคนอื่นต้องเดือดร้อน แต่เธอก็จำแจ๊กเก็ตสีเขียวขี้ม้า กางเกงบลูยีนส์กับรองเท้าสีน้ำตาลได้แม่น จากการเพ่งมอง   อย่างแค้นเคืองมาทั้งคืน หญิงสาวไหว้ลาลุงกับป้าเบาะหน้า ก่อนหอบข้างของพะรุงพะลังไปที่ประตู
              รถค่อยๆจอดเทียบที่ชานชลา ผู้คนมากมายรีบเร่งขึ้นลง เพราะขบวนรถจะวิ่งต่อไปถึงเชียงใหม่มีเวลาจอดเพียง 5 นาที หญิงสาวก็ทุลักทุเล ลงมาจากขบวนรถ
               ไม่เคยมีใครมารับ….เหมือนเดิม เธอยักไหล่อย่างไม่แคร์ให้กับตัวเอง ก่อนจะลากถุงกระสอบต่อไป เพื่อข้ามรางรถไฟ อีกหนึ่งรางเพื่อไปฝั่งสถานี แล้วก็ต่อสองแถวไปบ้าน “อำเภอ เชียงจืน”
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
               เขาตื่นตอนฟ้าเริ่มสาง ยังดีนะที่ยังทันแสงแรกของวัน เขาอยากได้ภาพทางรถไฟ ที่ตัดทอดยาวกลางแนวป่าเขียวชอุ่ม พอฟ้าสางอีกไม่กี่ชั่วโมง ก็จะถึงสถานีที่จะต้องลงแล้ว เพราะที่หมายของเขาต้องลงรถไฟที่สถานีนี้ แล้วต่อรถสองแถวประจำทางเข้าไปอีกไกล
               เขาขนถุงทะเลใบใหญ่ไปด้วย เพราะตั้งใจจะไปถ่ายรูปที่ตู้สุดท้าย จะได้ไม่ต้องเดิน กลับไปกลับมา ผู้หญิงใส่ชุดวอล์มเบาะข้างๆ ยังนอนหมวกแก๊ปปิดหน้า เขาจึงยกถุงทะเลใบโตลง พยายามให้เงียบที่สุด ไม่อยากให้รบกวนเธอ แต่เมื่อคืน             เขาไปเข้าห้องน้ำ กลับมาก็เห็นผู้หญิงคนนี้ มานอนอยู่เบาะข้างๆเบาะที่ว่างมาตั้งแต่กรุงเทพ
               ว่างมาตั้งแต่กรุงเทพ รึเปล่านะ? เขาก็ไม่แน่ใจ เพราะตั้งแต่ขึ้นรถ ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาจากนิวยอร์ก แล้วไปบ้านคุณยายที่อยุธยา แล้วก็ตีรถ กลับมาเจอกับเพื่อนๆที่กรุงเทพ ตกดึกก็ขึ้นรถออกเดินทางต่อเลย แถมด้วยฤทธิ์เบียร์     นิดๆหน่อยๆ ทำเอาเขาเอนหลังได้ก็หลับเป็นตาย ถึงจะได้ยินเสียงเอะอะ เป็นบางช่วง แต่ความเมื่อยก็ทำให้เขาไม่ได้ตื่นขึ้นมาดู
               เขาพาดถุงทะเลขึ้นบ่า ออกเดินไปโบกี้สุดท้าย
               วันนี้โชคไม่ดีหมอกลงหนาจัด ไม่ได้รูปที่อยากได้ แต่ได้คุยอย่างถูกคอกับพี่เจ้าหน้าที่รถไฟแทน สามสิบนาทีต่อมา เสียงหวูดดังลั่น รถไฟก็ถึงสถานี ร่ำลากับเพื่อนใหม่
               เขาสะพายถุงทะเลขึ้นบ่า ผู้คนกรูกันขึ้นลงรถ เขารีบลงก่อนจะมายืน สังเกตการณ์หาทางต่อรถรถ แต่ก็มิวายคว้ากล้องมาถ่ายภาพที่ถูกใจ หันรีหันขวางอยู่สักพัก เขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังหอบหิ้วของมากมาย แถมลากถุงใบโต ข้ามรางรถไฟคนเดียว เขาจึงเข้าไปช่วย
                “ผมช่วยครับ คุณอา” เขาฉวยถุงเจ็ดสีที่ใหญ่มาก ช่วยข้ามรางรถไฟไปให้ โดยไม่ทันมองหน้าเจ้าของด้วยซ้ำ
                 เมื่อผู้หญิงคนนั้นเดินตามมาระยะใกล้ๆ ใบหน้านั้นไม่ใช่ป้าแก่ เหมือนการแต่งตัว แต่ใบหน้านั้นกลับตึงๆเหมือนไม่พอใจอะไรซักอย่าง ชายหนุ่มไม่เข้าใจ ได้แต่ยิ้มก่อนจะถามออกไป
                “รถไปเชียงจืน ขึ้นที่ไหนเหรอครับ พี่”
                ใบหน้าตึง เปลี่ยนเป็นตาเขียวปั๊ดทันที มองเขาอย่างไม่พอใจทันทีก่อนจะตอบอย่างเสียมิได้
                 “ใต้ต้นหูกวาง” เธอคว้าข้าวของ เดินตึงตังหนีไปทันที ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะถามอะไรอีก
                  เขาได้แต่มองตาม อย่างงงๆ “อะไร ของเขา”
…………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………
                “คุณอา” …….เธอทั้ง อึ้ง ทั้งช็อก กับคำสรรพนาม การเดินทางครั้งนี้ เธอถูกเรียก “อา” “ป้า” “เจ๊”              อะไรจะขนาดนั้น  ในชีวิตสาววัยยี่สิบหก ไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว แต่เอะผู้ชายคนเมื่อครู่? ถุงทะเล กางเกงบลูยีนส์ รองเท้าสีน้ำตาล แถมหมวกไหมพรมสีเลือดหมูยังคาอยู่บนหัว อีตาคนนอนขวางทางคนนั้น! ความโกรธจากเมื่อคืนครุขึ้นมากรุ่นๆ  หาไปเถอะต้นหูกวาง รอบสถานีรถไฟ มีเป็นร้อยต้น!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น